BMW X6 xDRIVE 4.0i M Sport เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย!

ขออภัยท่านผู้อ่านที่ใช้ศัพท์อังกฤษควบคู่กันไป อาจทำให้อ่านสะดุดไม่ลื่นตาบ้าง แต่ก็เพื่อประโยชน์ในการศึกษาอ้างอิง

โดยส่วนตัวชื่นชอบรถยนต์นั่งตรวจการณ์อเนกประสงค์ (คนอเมริกันเรียกสั้นๆว่า เอสยูวี หรือ SUV ย่อจาก Sport Utility Vehicle ซึ่งเป็นรถประเภทเดียวกันกับที่คนอังกฤษเรียกว่า Cross-Country Vehicle) ไม่ว่าจะเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อวิบาก หรือว่าขับเคลื่อนทุกล้อ

ด้วยเหตุของประโยชน์ใช้งานและอรรถประโยชน์ (Versatility & Utility) มากกว่ารถยนต์ชนิดอื่น โดยเฉพาะยิ่งขับและนั่งโดยสารได้นิ่มนวลต่างไปจากรถที่ใช้รางแชสซีส์ เช่น รถปิคอั๊พ นอกเหนือความสามารถในการขับลุยนอกผิวถนนหรือ Off-Road Driving Ability ที่เป็นผลพลอยได้

คุณประโยชน์ของรถ SUV นั้นเปรียบเหมือนรถ 3 คันในคันเดียวกัน (Three-In-One) คือ เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, เป็นรถครอบครัวที่นั่งโดยสาร 5 คนท่องเที่ยวทางไกลได้สะดวกสบายกว่ารถเก๋ง, และ พับเบาะเพิ่มเนื้อที่บรรทุกสัมภาระ เช่น ตู้เก็บรองเท้า โทรทัศน์จอใหญ่ และอื่นๆ กลับบ้านได้โดยไม่ต้องพึ่งพารอคิวขนส่ง

ผมลองขับ BMW X6 ครั้งแรกราวปี 2019 รู้สึกอคติกับทรวดทรงท้ายรถที่ลาดเท (Coupe’) ปริมาตรความจุสัมภาระในตัวรถขาดหายไป เมื่อเทียบกับรถ SUV ท้ายตัดแบบ Notchback

แต่เมื่อได้ลองขับ BMW X6 xDrive 4.0i M Sport รุ่นใหม่รหัสตัวถัง G06 ที่เพิ่งปรับราคาใหม่เมื่อเดือนเมษายน (ปี 2023) ที่ผ่านมา บนทางหลวงชนบทรอบๆบริเวณ Grand Prix Motor Park บ่อพลอย กาญจนบุรี แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่รู้สึกชื่นชอบและมีอะไรๆในตัวรถที่ดีมีคุณค่าเกินคาดหมาย

ข้อหนึ่งที่รู้สึกได้ชัด คือ อาการโยนท้ายรถ (Rear-Body Roll) ดังที่เป็นนิสัยของรถ SUV/Notchback โดยเฉพาะกรณีเลี้ยวหักหลบหรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน รวมทั้งการเลี้ยวโค้งด้วยความเร็ว นั้นลดน้อยลง ขับได้มั่นใจและคล่องแคล่วกว่า

เมื่อกลับมานั่งดูสเปคฯ ตัวรถรุ่นนี้ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น เครื่องยนต์เปลี่ยนจากดีเซลเทอร์โบมาเป็น “เบนซิน 3.0 ลิตรเทอร์โบ 340 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 8 speed Sport Steptronic ขับเคลื่อนทุกล้ออัจฉริยะ (BMW xDrive) พร้อมระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (BMW Adaptive 2-Axle Air-Suspension) ระบบอิเลคทรอนิคเสริมขับขี่ปลอดภัย(ADAS.: Advanced Driving Assistant System) และอื่นๆ ที่พูดได้ว่าคุ้มกับราคา 5,739,000 บาท ซึ่งลดลง -1,560,000 บาทจากรุ่นก่อนหน้า

บทความนี้ยาวหน่อย แต่เป็นข้อมูลที่รับประกันว่า “คุ้มค่าต่อการอ่าน” ของท่าน ลองติดตามดูนะครับ

BMW X6 xDrive 40i M Sport … ไม่ธรรมดา!

มกราคมปี 2021 BMW X6 xDrive 30d M Sport ได้รับรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี(Coupe’ SUV of the Year)จากนิตยสารชื่อดัง WHAT’s Car ของอังกฤษ

X6 (Model Year 2023) รหัสตัวถัง G06 เป็น 3rd Generation ของ BMW X6 นับจากที่ Gen แรกผลิตจำหน่ายในปี 2009 เป็นต้นมา

X6 xDrive 40i M Sport (Model Year 2023) ไม่ธรรมดา คือ มีความน่าสนใจอยู่หลายประเด็น อาทิ

หนึ่ง- เป็น X6 รุ่นแรกที่ประกอบผลิตในประเทศไทยหรือ CKD (Completely Knock-Down Unit) ซึ่งจากข้อมูลอ้างอิงระบุว่ามีอยู่ 2 ประเทศในโลกที่ประกอบ X6 (G06) นี้ ได้แก่ ไทย และ สหรัฐอเมริกา

แน่นอนว่า โรงงานผลิตทั้ง 2 ประเทศนี้ต้องผลิตเพื่อการส่งออกไปยังประเทศอื่นที่มีภูมิภาคเดียวกันหรือใกล้เคียงด้วย จะเหมาว่าแบ่งแยกออกเป็นรถพวงมาลัยขวากับซ้ายก็ไม่มีข้อมูลระบุได้

อย่างน้อยก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่า BMW เลือกขีดความสามารถในการประกอบผลิตรถยนต์ของคนไทย ขณะที่รถอีกหลายยี่ห้อไม่เลือก

สอง- การที่ X6 ในเจนเนอเรชั่น 3 เดียวกันนี้ เปลี่ยนจากดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตรมาเป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3.0 ลิตร โดยที่ไม่ใช่พลังงานผสม 48 Volt Mild-Hybrid ดังที่หลายคนคาดไว้แต่แรก แสดงว่า BMW มั่นใจเรื่องคุณภาพไอเสียที่ตรงตามมาตรฐานที่ประเทศไทยกำหนด

นอกนั้นยังมั่นใจว่า เครื่องยนต์เบนซินใน X6 สนองตอบความต้องการของกลุ่มลูกค้าในไทยได้ น่าจะเป็นทางเลือกใหม่หลังจากที่คุ้นเคยกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบมาพักใหญ่แล้ว และน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องท่ามกลางการแข่งขันของตลาดรถนั่งชั้นหรู

สาม- อนุสนธิจากข้อแรก คือ เป็นรถ CKD นั้น มีข้อสงสัยว่า “X6 รุ่นใหม่มีการตัดลดอุปกรณ์มาตรฐานออกไปมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับ CBU (Completely Build-Up Unit) รุ่นก่อนหน้าที่ราคา 7.299 ล้านบาท?”

คำตอบ คือ X6 รุ่นใหม่ยัง “จัดเต็ม” หรือเรียกว่าเป็นรถ High-Technology/Performanced SAC ไม่ได้ลดหย่อนแต่อย่างใด เอาแค่ Laser Headlight, Panorama Glass Roof Sky Lounge, Adaptive High-Beam, Adaptive 2-Axle Air-Suspension, Double VANOS, Valvetronic, Parking Assistant Plus, BMW xDrive เท่านี้ก็เรียกว่าคุ้มกับค่าตัว 5.739 ล้านบาทแล้ว

BMW X6 ใหม่กับ Highlight Features:

เริ่มจาก BMW Iconic Glow ตะแกรงหน้ารถ “ไตคู่” เรืองแสงด้วยไฟ LED Fiber Optic Technology, BMW Laser Headlight ที่ไฟสูงส่องได้ไกลถึง 500 เมตร, ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam Assistant) , BMW Welcome Light Carpet ไฟส่องพื้นก้าวขึ้น/ลงรถสะดวกปลอดภัย, Panorama Glass Roof Sky Lounge หลังคาแก้วยาวสุดเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้าพร้อมวัสดุเรืองแสงอยู่ถึง 15,000 ชิ้น

BMW Driving Assistant ระบบอิเลคทรอนิคเสริมขับขี่ปลอดภัย Advanced Driving Assistant System นั่นเอง, Active Cruise Control with Stop & Go Function หรือระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติที่สามารถบังคับให้รถลดความเร็วตามคันหน้า หรือหยุด หรือวิ่งเคลื่อนที่ต่อได้เอง ช่วยลดภาระและความเหนื่อยล้าให้กับผู้ขับขี่โดยเฉพาะในการจราจรหนาแน่น รวมถึงการขับขี่ทางไกลต่อเนื่องยาวนาน

BMW Live Cockpit Professional จอมาตรวัดและจอสัมผัสสั่งการ 12.3 นิ้วฟุตมาพร้อม BMW ConnectedDrive และ BMW Gesture Control ครบทุกฟังก์ชั่นประหนึ่งค๊อกพิตกัปตันเครื่องบินเจ็ทโดยสารลำใหญ่

BMW Head-Up Display สะท้อนบอกความเร็วรถและแผนที่เส้นทางบนกระจกหน้ารถ, Cup Holder Temperate ช่องวางแก้วที่รักษาอุณหภูมิเครื่องดื่มร้อน/หรือเย็น, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบ่งแยกและควบคุมอุณหภูมิ 4 ส่วนของห้องโดยสาร (4-Zone Automatic Air-Conditioning)

เบาะนั่งคู่หน้าไฟฟ้าปรับพนักพิงส่วนบนให้องศาสัมพันธ์กับสัดส่วนร่างกายได้ (Comfort Seat Front/Electric Adjustable), และอื่นๆอีกมากมาย ภายนอกและภายในตัวรถแต่งเต็ม M Aerodynamic / M Trim Line ที่สะท้อนถึงรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ ปริมาตรความจุสัมภาระในตัวรถ 580-1,530 ลิตร (ระหว่างไม่พับ/พับพนักพิงเบาะหลัง)

40i M Sport Technical Highlight Features:

คุณสมบัติเด่นทางเทคนิครถรุ่นนี้ ได้แก่

หนึ่ง- Cd 0.34 ตัวถังลู่เนียนลม แม้จะเป็นรถ SAC (Sport Activity Coupe’) คันใหญ่ แต่มีคุณลักษณะลิ่มลมหรือ Aerodynamic Wedge-Shaped

การเจาะช่องที่มุมกันชนหน้าและซุ้มล้อหน้าเพื่อให้ลมไหลผ่าน (Air Breath) ผนวกกับกระจังหน้า “ไตคู่” ที่ปิดทึบบังคับให้ลมผ่านระบายความร้อนห้องเครื่องยนต์เฉพาะส่วนที่ต้องการเท่านั้น ทำให้ G06 ได้ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ต่ำหรือลู่ลมใกล้เคียงกับรถยนต์นั่งซาลูนคันใหญ่ยาว

สอง- โครงสร้างแชสซีส์ BMW CLAR Platform (Cluster Architecture Platform) โครงสร้างแชสซีส์ที่นำคุณสมบัติของเหล็กและอลูมิเนียมประสานการทำงานได้อย่างกลมเกลียว วิจัยพัฒนามุ่งตรงต่อการ ลดน้ำหนัก (Body Lightweight Construction) แข็งแรงเหนียวแน่นมากขึ้นด้วย High-Tensile Steel (และ Carbon Fiber หรือ BMW Carbon Core ใช้กับรถบางรุ่น เช่น BMW 7-Series รหัสตัวถัง G11/G12 ปี 2016)

ขณะเดียวกันก็ทนต่อการบิดตัวได้สูง(High-Torsion Flexibility) ซึ่งทั้งหมดสนับสนุนประสิทธิภาพการเกาะถนน/ทรงตัวและสมรรถนะโดยรวมของตัวรถ สามารถใช้เป็นโครงสร้างแชสซีส์ของรถยนต์ BMW รุ่นใหม่ๆที่ติดตั้งอุปกรณ์อิเลคทรอนิคและพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine หรือ IC.) อย่างเดียว, พลังงานผสมระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า 48 Volt Mild-Hybrid, พลังงานผสมที่เสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ (Plug-In Hybrid หรือ PHEV.), รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ EV. รวมทั้งรถคันใหญ่ที่ขับเคลื่อนล้อหลังและ/หรือขับเคลื่อนทุกล้อ

สาม- เครื่องยนต์ B58 ได้รับรางวัล “Ward World’s 10 Best Engine” จำนวน 4 ครั้ง (จาก BMW 4 รุ่น) ในปี 2016 ตามรอยลูกพี่ N55 (เบนซิน 6 สูบแถวเรียงเครื่องแรกของ BMW ที่ติดตั้ง Twin Scroll Turbo หรือ BMW TwinPower Turbo) ที่คว้ารางวัล “หนึ่งในสิบเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมของโลก” ในช่วงปี 2011-2013 นั้น

X6 xDrive 40i M Sport ใช้เครื่องยนต์รหัส B58B30M1 ซึ่งน่าจะเป็นที่เดียวในโลกที่ใช้เครื่องยนต์รหัสนี้ สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล และคุณภาพไอเสียได้มาตรฐานของไทย

เบนซิน 4 จังหวะ 6 สูบแถวเรียง 24 วาล์ว เพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูบ (Double Over-Head Camshafts: DOHC.) ฉุดเพลาราวลิ้นด้วยโซ่ (Chain Drive) เสื้อสูบ/ฝาสูบอลูมินั่ม ฝาสูบแบบปิดช่องหล่อเย็น(Closed-Deck Engine Block) ระบบเปิด/ปิดวาล์วผันแปรคู่ (BMW Double VANOS) ทั้งวาล์วไอดีและวาล์วไอเสีย ระบบวาล์วแปรผันระยะยก (BMW Valvetronic)
หัวฉีดเชื้อเพลิงแบบแม่นยำสูงและจ่อตรงแต่ละสูบ (High-Precision Fuel Direct Injection) ปรับเพิ่มแรงดันหัวฉีด +75% จากเดิมนับแต่ปี 2018 เป็นต้นมา

เพลาข้อเหวี่ยงเหล็กกล้าหล่อขึ้นรูปโดยใช้แรงอัดสูง (Forge Steel Crankshaft) ก้านสูบอลูมิเนียมอัดแรง (Forge Connecting Rod) เสื้อสูบบริเวณข้อเหวี่ยง (Crankcase) ออกแบบใหม่เพิ่มความหนาทนทานและลดความร้อนเครื่องยนต์

ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มพลัง BMW TwinPower Turbo หรือ Twin Scroll Turbocharge ที่ใช้ 2 ช่องรวมอยู่ในท่อเดียวกันเป่าอัดใบกังหันเทอร์ไบน์ เพิ่มแรงบู้สท์ +20% ก๊าซไอดีหล่อเย็นระบบอากาศผ่านน้ำ (Air-to-Liquid Turbo Intercooler)

สี่- เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า BMW 8 speed Sport Steptronic เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 8 สปีด รุ่น GA8X51CZ เป็น ZF รุ่น 8HP51 ของเยอรมนี ทำงานระบบเฟืองเกียร์ชุดดาวนพ
เคราะห์ (Planetary Gearset Automatic Transmission) ตัวเกียร์วางยาวตามลำตัวรถตามลักษณะของรถที่ติดตั้งเครื่องยนต์ด้านหน้าวางตามแนวยาวตัวรถ (Front/Longitudinal Mounted Engine) ขับเคลื่อนล้อหลัง และ/หรือขับเคลื่อนทุกล้อ เกียร์รุ่นนี้ตอบสนองการสั่งการได้เร็วขึ้น +200 Milliseconds (แบ่ง 1 วินาทีออกเป็น 1,000 ส่วน) ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงราว +12% จากรุ่น 6 สปีด อัตราทดรอบเกียร์ 1st จัดมาก คือ 5.25:1 อัตราทดรอบที่เป็น Over-Drive อยู่ที่เกียร์ 7th (0.822:1) และ 8th (0.64:1)

ศักยภาพที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ กรณีที่ถอนคันเร่งก่อนหยุดรถ เช่น ไฟสัญญาณจราจร ฯลฯ เกียร์สามารถเปลี่ยนลดจังหวะจากเกียร์ 8th ลง 2nd ได้ด้วยตัวเองโดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องโยกคันบังคับเกียร์แต่อย่างใด ปรากศจากอาการกระตุกกระชาก

ห้า- BMW Adaptive 2-Axle Air-Suspension (with Self-Leveling) คือ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม หรือ Air-Suspension ทั้งคู่หน้าและคู่หลัง เพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนน/ทรงตัวในทุกย่านความเร็ว นั่งโดยสารนิ่มนวลสุนทรีรมย์ ยังปรับระดับความสูงหน้า/หลังตัวรถให้เท่ากันโดยอัตโนมัติ (Self-Levelling) ลดปัญหาหน้ารถเงยและท้ายห้อยจากกรณีบรรทุกน้ำหนักหรือนั่งโดยสารเต็มอัตราในโหมดขับขี่ Sport และ Sport Plus ตัวรถจะปรับลดระดับระบบกันสะเทือนลง 20 มิลลิเมตร คือ ตัวรถเตี้ยลงจากโหมดขับขี่ปกติ

หมายเหตุ. Adaptive 2-Axle Air-Suspension นี้ทำงานต่างจากระบบ Adaptive M Suspension ที่อาศัยการทำงานของโช้คอั๊พไฟฟ้าปรับความหนืดหรือแข็งมากขึ้น (ไม่มีในรถรุ่นนี้)

หก- BMW xDrive ขับทุกล้ออัจฉริยะ คือ ระบบส่งกำลังขับเคลื่อนทุกล้ออัตโนมัติ (AWD.: All-Wheel-Drive) ที่ BMW AG เยอรมนี วิจัยพัฒนาและเริ่มใช้อย่างเป็นทางการกับ BMW X3 รหัสตัวถัง E83 ปี 2003 และ BMW X5 รหัสตัวถัง E85 ที่เป็น Facelift

หัวใจหลักของ xDrive คือ การนำศักยภาพและความแม่นยำของระบบอิเลคทรอนิคมาควบคุม/สั่งการทำงานของเฟืองท้ายตัวกลางซึ่งใช้แผ่นปึกคลัตช์ (Electronically-Actuated Clutch-Pack Differential) ทำหน้าที่แทน Viscous-Coupling ที่ตอบสนองไม่ทันการณ์ในบางกรณี นั้น
ในการขับขี่ปกติ xDrive กระจายและ/จัดสรรการส่งกำลังในอัตราส่วน 40%/60% (ระหว่างล้อหน้า/ล้อหลัง) และสามารถปรับการถ่ายกำลังไปให้กับล้อหน้าและ/หรือล้อหลังมากถึง 100% โดยอัตโนมัติและเร็วเพียงเสี้ยววินาที เช่น กรณีที่ล้อหลังสูญเสียการเกาะถนนหรือลื่นไถล หรือว่า ตกหล่มโคลน

เท่าที่ทราบ พัฒนาการล่าสุดของ BMW xDrive system คือ การนำระบบ Torque Vectoring (หมายถึง ระบบอิเลคทรอนิคควบคุมแรงบิดของเพลาล้อขับเคลื่อน) มาเสริมศักยภาพ/ประสิทธิภาพของการถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อนทุกล้อ BMW เรียกชื่อเฉพาะว่า Dynamic Performance Control หรือ PDC ซึ่งประสานการทำงานกับระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ หรือ DSC (Dynamic Stability Control)

ประโยชน์ที่ได้ คือ ขับขี่ง่ายมือ มั่นใจและปลอดภัยมากขึ้นทุกสภาพผิวถนน โดยเฉพาะทางโค้งหรือการเปลี่ยนเลนกะทันหัน ไม่ว่าผู้ขับขี่จะมีทักษะการบังคับรถมากน้อยอย่างใด xDrive เป็นหนึ่งในระบบส่งกำลังขับเคลื่อนทุกล้ออัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะเถนน/ทรงตัวรถแล้ว ยังช่วยลดอาการหน้าดื้อโค้ง/ท้ายปัด (Under & Over Steering) รวมทั้งอาการท้ายโยน (Rear Body Roll) ขับง่าย โดยไม่ต้องหมุนพวงมาลัยแก้อาการรถ (Counter-Steering) มากดังที่คิด

รายละเอียดทางเทคนิค:

BMW X6 xDrive 40i M Sport (MY2023) รถยนต์นั่งตรวจการณ์อเนกประสงค์คันใหญ่ประเภทท้ายลาด (BMW เรียกว่า SAC ย่อจาก Sport Activity Coupe’) 5 ประตู 5 ที่นั่ง ระดับชั้นสินค้าในตลาดโลก คือ World Luxury Middle Coupe’ SUV หรือ EURO J-Segment

Vehicle Layout คือ วางเครื่องยนต์ด้านหน้า-ตามแนวยาวลำตัวรถ/ส่งกำลังขับเคลื่อนทุกล้ออัตโนมัติ (All-Wheel-Drive หรือ BMW xDrive) เครื่องยนต์เบนซิน 4 จังหวะ 6 สูบแถวเรียง 24 วาล์ว เพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูบ BMW TwinPower Turbo พร้อม Air-to-Liquid Intercooler กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 8 สปีด Sport Steptronic อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.7 วินาที พิกัดความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.

• มิติ-น้ำหนักตัวรถ

ยาว x กว้าง (ไม่รวมกระจกส่องข้าง) x สูง= 4.935 x 2.004 x 1.696 เมตร ช่วงล้อ(Wheelbase)ยาว 2.975 เมตร ฐานล้อคู่หน้า/คู่หลัง (Front/Rear Track) 1.678/1.698 เมตร กันชนหน้า-ดุมล้อหน้า (Front Overhang) 88.0 เซนติเมตร กันชนหลัง-ดุมล้อหลัง (Rear Overhang) 1.082 เมตร ใต้ท้องรถสูงจากพื้นราบ 21.6 เซนติเมตร (โหมดขับขี่ปกติ)
ห้องโดยสารด้านหน้ากว้างสุด 1.560 เมตร ห้องโดยสารตอนหลังกว้าง 1.540 เมตร ห้องโดยสารหน้าสูง (เบาะรองนั่งต่ำสุดจรดเพดานรถ) 1.025 เมตร ห้องโดยสารตอนหลังสูง 95.3 เซนติเมตร

ปริมาตรความจุสัมภาระในตัวรถ 580-1,530 ลิตร (ไม่พับ/พับเบาะนั่ง) น้ำหนักบรรทุกสัมภาระ (รวมนั่งโดยสาร) 670-770 กิโลกรัม น้ำหนักตัวรถ 2,055 กิโลกรัม

น้ำหนักลากจูงรถเทรลเลอร์(ไม่มีระบบเบรก) 750 กิโลกรัม ลากจูงรถเทรลเลอร์ (ติดตั้งระบบเบรกทำงาน 12%) 3,500 กิโลกรัม หลังคารถรับน้ำหนักไม่เกิน 100 กิโลกรัม ติดตั้งตะแกรงหลังคารับน้ำหนักบรรทุกได้ 140 กิโลกรัม ความจุถังเชื้อเพลิง 80 ลิตร

• โครงสร้างแชสซีส์

BMW CLAR (Cluster Architecture) Platform นำหลักสถาปัตยกรรมมาออกแบบจัดสรรพื้นที่ใช้สอย คำนวณโครงสร้างตามหลักวิศวกรรมยานยนต์โดยคอมพิวเตอร์ระบบ 3 มิติ ผ่านการคัดกรองความถูกต้องก่อนนำสู่ขบวนการผลิตโดย CAD/CAM (Computer Aided Design/Computer Aided Manufacturing) กอปร์ด้วยเหล็กกล้าแข็งเหนียวพิเศษ (High-Tensile Steel) กับอลูมิเนียม (Aluminium) ประสานหน้าที่ตามหลักโลหะวิทยา (Metallurgy) เป็นโครงสร้างแชสซีส์ที่แข็งแกร่ง ทนทาน ทนต่อการบิดตัวสูง เสริมแรงโดยชิ้นโลหะและเทคโนโลยีการเชื่อมบริเวณที่เป็นนิรภัย (Safety Cage) และจุดระบบน้ำหนักให้ตัวน้อย (Rigid Torsion) และน้ำหนักเบาตามเทคโนโลยี Body Light-Weight Construction

โครงสร้างด้านหน้า/ท้ายมีคุณสมบัติซับแรงกระแทกชน (Crumple Zones) ติดตั้งคานนิรภัยในบานประตูรถทั้ง 4 บาน ห้องเครื่องยนต์ผสานคานเหล็กและอลูมิเนียมทั้งแนวยาวและขวางลำตัวรถ เสาเก๋งหน้า-กลาง-หลังเสริมแรงกันหลังคายุบกรณีรถพลิกคว่ำ คือ บริเวณโคนเสา เสาเก๋ง คานตามแนวรางน้ำฝน และคานขวางหลังคา มีคุณสมบัติเป็น Roll-Over Bars ในตัว
CLAR พัฒนาจาก UKL Platform (Untere Klasse) ในปี 2014 เพื่อใช้กับรถยนต์ขนาดเล็ก เครื่องยนต์ติดตั้งด้านหน้า-วางขวางลำตัวรถ/ขับเคลื่อนล้อหน้าและ/หรือขับเคลื่อนทุกล้อ ในปี 2015 จึงเป็น CLAR Platform (Cluster Architecture Platform) โครงสร้างแชสซีส์ที่ประสานคุณสมบัติต่างๆของโลหะ รวมทั้งวัสดุผสมที่มีความแข็งเหนียวน้ำหนักเบามากและไม่เป็นสนิมโลหะ เช่น คาร์บอนไฟเบอร์(เฉพาะรถบางรุ่น) มาสอดสัมพันธ์หน้าที่เป็นหนึ่งเดียวกัน

แนวคิดอาจคล้ายกับ CMF (Common Module Family) Architecture ที่ Renault-Nissan-Mitsubishi ร่วมกันวิจัยพัฒนาในบางมุมมอง

• เครื่องยนต์
ปัจจุบันเป็นเครื่องยนต์รหัส B58B30M1 เบนซิน 4 จังหวะ 6 สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ติดตั้งที่ตัวรถส่วนหน้าโดยวางตามแนวยาวตัวรถ (Longitudinal Front Mount Engine) เพลาราวลิ้นคู่เหนือฝาสูบ (DOHC.) เสื้อสูบ/ฝาสูบอลูมินั่มอัลลอย เฉพาะตัวเครื่องยนต์น้ำหนักเพียงแค่ 139 กิโลกรัม

พื้นที่ส่วนบนของเสื้อสูบแบบปิด (Close Deck Engine Block) คือ มีรูทางเดินหล่อเย็นโดยรอบลูกสูบแต่ละสูบน้อยกว่าแบบเปิด (Open Deck) และแบบผสม (Semi-Open) เพื่อรักษาอุณหภูมิบริเวณกระบอกสูบและลูกสูบให้ร้อนได้องศาคงที่ ซึ่งเหมาะสมมากกับเครื่องยนต์ที่มีกำลังอัดสูงๆ ขณะเดียวกัน ระบบหล่อเย็นตัวเครื่องก็แบ่งแยกออกเป็น 2 วงจร/ทางเดินไหลเวียน

ติดตั้งระบบกักเก็บความร้อน (Heat Encapsulation System) เพื่อลดการสึกหรอเครื่องยนต์และลดมลภาวะไอเสียช่วงที่เครื่องยนต์สตาร์ทติดแรกๆ เพลาข้อเหวี่ยง (Forge-Steel Crankshaft) และก้านลูกสูบ (Forge Piston Rod) หล่อขึ้นรูปโดยกรรมวิธีอัดแรงด้วยความร้อนสูงเพื่อไม่ให้มีปัญหาโพรงอากาศข้างในเนื้อโลหะ ทำให้แข็งแกร่งเหนียวแน่นทนทาน

ระบบเปิด/ปิดวาล์วแบบแปรผันคู่ ทั้งวาล์วไอดีและไอเสีย (Double VANOS) ระบบปรับยกระยะห่างวาล์วอัตโนมัติ (Valvetronic) ฉุดเพลาราวลิ้นด้วยโซ่ ระบบอิเลคทรอนิคควบคุม/ส่งการเครื่องยนต์ Bosch DI-Motronic หัวฉีดเชื้อเพลิงแบบจ่อตรงแต่ละสูบทำงานฉีดจ่ายแม่นยำสูง (High-Precision Fuel Direct Injection) โดยเพิ่มแรงดันจากเดิม +75%

อุปกรณ์เพิ่มพลัง คือ BMW TwinPower Turbo หรือ Twin-Scroll Turbocharger นั่นเอง ท่อรวมไอเสียที่จ่อเป่ากังหันเทอร์โบแบ่งออกเป็น 2 ช่องรวมอยู่ในท่อเดียวกัน เพื่อไม่ให้ลมไอเสียลดความแรงในการเป่าลง จึงตอบสนองการเร่งได้ฉับไว ลดปัญหา Turbo Lag และช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยปริยาย

นอกนั้นยังเพิ่มแรงบู้สท์ +20% (เมื่อเทียบกับเครื่องเบนซิน N55 ที่ใช้ใน X6 ใน Generation ที่ 2) ระบบหล่อเย็นอากาศไอดีที่อัดเข้าเทอร์โบชาร์จใช้ของเหลวเป็นตัวกลางลดอุณหภูมิ (Air-to-Liquid Turbo Intercooler) เครื่องฯนี้หมุนเร็วสุด(Red Line) ที่ 7,000 รอบ/นาที ปริมาณก๊าซ Carbon Dioxide emissions ที่ปล่อยมากับไอเสีย 205 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร

ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,998 ซี.ซี. สูบ x ช่วงชัก = 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัดสูบ 11:1 กำลังสูงสุด 340 แรงม้า (PS) หรือเท่ากับ 250 กิโลวัตต์ (Kw) เมื่อเครื่องยนต์หมุนอยู่ในช่วง 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร (หรือ 45.9 กิโลกรัม-เมตร) ตั้งแต่เครื่องยนต์ทำงานในรอบต่ำ 1,500 จนถึง 5,200 รอบ/นาที ดังนี้ จุดบรรจบแรงม้า-แรงบิดสูงสุด คือ ช่วง 5,200-5,500 รอบ/นาที

BMW B58 นี้ได้รับรางวัล “1 ใน 10 เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมของโลก” หรือ World’s 10 Best Engines ถึง 4 ครั้งจากรถ BMW 4 รุ่นด้วยกัน เดินตามรุ่นพี่ N55 (ติดตั้งใน X6 รุ่นก่อนหน้า) ที่เคยได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมของโลกเช่นกัน

• เกียร์อัตโนมัติ BMW 8sp Steptronic

จากข้อมูลอ้างอิงทำให้เข้าใจว่า BMW หลายรุ่น รวมทั้ง X6 รหัสตัวถัง G06 ใช้เกียร์อัตโนมัติที่ผลิตโดย ZF Friedrichshafen AG เยอรมนี

บริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องผลิตเกียร์ส่งกำลังที่มีประสิทธิภาพรายหนึ่งของโลก ก่อตั้งบริษัทมา 107 ปีแล้ว นอกจากวิจัยพัฒนาเกียร์ส่งกำลังยานยนต์เพื่อจำหน่ายแล้ว ยังผลิตระบบพวงมาลัย, ระบบเฟืองท้าย, ระบบอิเลคทรอนิคเสริมขับขี่ปลอดภัย(ADAS.: Advanced Driving Assistant System), ระบบถุงลมนิรภัยยานยนต์, ระบบเข็มขัดนิรภัย, และ ระบบเบรก ให้กับบริษัทผลิตรถยนต์หลายยี่ห้อดังของโลก

ในปี 2008 ZF ผลิตสินค้ารุ่นใหม่ คือ 8HP70 เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 8 สปีดควบคุมโดยระบบอิเลคทรอนิค เป้าหมายหลัก ได้แก่ ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น +12% เปลี่ยนจังหวะเกียร์ได้ไวขึ้นอีก 200 Milliseconds (เมื่อเทียบกับ 6HP) สามารถเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ จากเกียร์ 8 ลงเกียร์ 2 ได้เองอย่างฉับไวโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องโยกคันบังคับแต่อย่างใด รองรับการถ่ายทอดแรงบิดสูงสุดจากเครื่องยนต์ได้มากถึง 700 นิวตัน-เมตร น้ำหนักตัวเกียร์เบาเพียง 87 กิโลกรัมเท่านั้น

ZF 8HP70 พัฒนาการรุ่นที่ 3 ในปี 2018 ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจาก 2nd Generation ราว 2.5% และเกียร์รุ่นใหม่นี้ยังรองรับการติดตั้งใช้งานกับรถยนต์พลังงานผสม 48 Volt Mild-Hybrid, Plug-In Hybrid ได้อย่างเหมาะสม

หนึ่งในพัฒนาการของ ZF 8HP70 คือ 8HP51 ผลิตครั้งแรกในปี 2019 และเป็นเกียร์ตัวเดียวกับที่ใช้ใน BMW X6 พัฒนาการรุ่นที่ 2 และรุ่นปัจจุบัน รหัสโรงงานผลิต BMW คือ GA8X51CZ

เกียร์อัตโนมัติที่ทำงานในระบบเกียร์ดาวนพเคราะห์ (Planetary Gearset หรือ Sun Gear) ติดตั้งตามแนวยาวลำตัวรถ อัตราทดเกียร์ (1st) 5.25 ต่อ 1, (2nd ) 3.36:1, (3rd) 2.172:1, (4th ) 1.72:1, (5th) 1.318:1, (6th) 1.00:1, (7th) 0.822:1, (8th) 0.64:1, (เกียร์ถอยหลัง) 3.712:1, อัตราทดเฟืองท้ายตัวหลัง 3.385:1

• Driving Mode

มีทั้งหมด 5 โหมดด้วยกัน ได้แก่ ECO PRO, COMFORT, SPORT, SPORT PLUS และ ADAPTIVE MODE ตอบสนองความต้องการขับขี่ทุกรูปแบบ

ECO PRO Mode เน้นประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงมากสุด ช่วยลดมลภาวะไอเสียโดยปริยาย เครื่องยนต์และเกียร์ส่งกำลังขับเคลื่อน (Transmission) ถูกบังคับให้ไม่ตอบสนองในทันทีทันใด กรณีที่วิ่งทางไกลต่อเนื่องและระดับความเร็วสม่ำเสมอ ECO PRO ทำให้ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงมากขึ้นราว +20% กว่าโหมดอื่นๆ ขณะเดียวกันก็ช่วยลดมลภาวะไอเสียโดยปริยาย

COMFORT Mode เน้นการขับขี่ที่นุ่มนวล ขับไปเรื่อยๆ หรือขับขี่ปกติ อาจจะเรียกว่าเป็น Standard Driving Mode ของตัวรถก็ว่าได้ เหมาะสำหรับขับขี่ในการจราจร

เครื่องยนต์กับเกียร์ส่งกำลังจะคุยกันเพื่อลดอาการกระตุกกระชากขณะที่เกียร์เปลี่ยนจังหวะ รวมถึงลดปัญหาจากการถอนคันเร่ง ซึ่งเป็นอุปนิสัยของเกียร์อัตโนมัติทั่วไปที่จะปลดตัวเองเป็นเกียร์สูงสุด (อาจเป็นเกียร์ 7th หรือ 8th) ทำให้รู้สึกเหมือนรถไม่หน่วงความเร็วลง ก่อนที่จะเปลี่ยนตัวเองลงมาที่เกียร์ 2nd เมื่อรถใกล้จอด

SPORT Mode เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตเร้าใจ หรือ Dynamic Driving Experience เหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วบนทางหลวง รวมทั้งในสนามแข่งรถ เครื่องยนต์และเกียร์ส่งกำลังตอบสนองต่อเร็วในทันทีที่กดคันเร่ง การเปลี่ยนจังหวะเกียร์ในแต่ละเกียร์ลากยาวขึ้นหรือในรอบที่สูงมากขึ้น โช้คอั๊พปรับตัวหนืดหรือแข็งขึ้นโดยปริยาย พวงมาลัยหนืดแรงขึ้นและเปลี่ยนอัตราทดตรง สนับสนุนการออกตัวรถเร็วๆ การเร่งแซงกระชับ ลดอาการโยนตัวของตัวรถ รวมถึงอาการหน้าทิ่ม/ท้ายยวบ ขณะที่เปลี่ยนเลนกะทันหันและเลี้ยวโค้งในความเร็วสูง

SPORT PLUS หรือ SPORT+ Mode ขับขี่แบบเต็มสรรถนะตัวรถหรือเท่าที่ขีดความสามารถของผู้ขับจะสามารถได้ เป็นระดับ Ultimate Driving Experience เครื่องยนต์และเกียร์ส่งกำลังตื่นตัวเต็มที่หรือไวต่อการเหยียบคันเร่ง เกียร์ลากรอบเครื่องยนต์ใกล้ขีดสูงสุด (Red Line)

ระบบกันสะเทือนปรับตัว Firm สุดในระดับ High-Performance Driving รองรับการเลี้ยวโค้งเต็มๆ แรงๆ เช่น โค้งในสนามแข่งรถ พวงมาลัยหนักข้อมือมากขึ้นและเพิ่มความแม่นยำในการบังคับควบคุมแฉกเช่นรถสปอร์ต ระบบอิเลคทรอนิคควบคุมการเกาะถนน/ทรงตัวปรับลดการทำงานลงเล็กน้อย เพื่อให้ได้อารมณ์ท้ายปัดเล็กๆแบบรถสปอร์ตหรือรถแข่ง

ADAPTIVE Mode ปรับระบบการทำงานของตัวรถโดยอัตโนมัติให้เข้ากับ Driving Style/Driving Behavior ของผู้ขับขี่แต่ละคน, สภาพถนน ไม่ว่าจะขับขี่ในการจราจรลื่นไหล ติดขัดหนาแน่น หรือว่าบนทางหลวง และอื่นๆอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันก็พร้อมที่ออกตัวปรู๊ดปร๊าด อัตราเร่งแซงกระชับไว ลากรอบเครื่องยนต์ ในทันทีที่ผู้ขับขี่เปลี่ยนอารมณ์เหยียบคันเร่ง

การทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ส่งกำลังขับเคลื่อน ระบบกันสะเทือน ตอบสนองแบบ Real-Time ชดเชยความผิดพลาดของผู้ขับขี่ ลดภาระขับขี่ ทำให้ขับรถแรงม้ามากๆ แรงบิดสูงๆ ได้เพลิดเพลินยิ่งขึ้น

• ระบบพวงมาลัย
BMW Servotronic คือ ระบบพวงมาลัยที่ใช้ชุดแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Valve) ปรับระยะห่างวาล์วน้ำมันเพาเวอร์พวงมาลัยเพื่อให้ผันแปรแรงดันตามความเร็วรถ ต่างไปจากระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ (Conventional Power-Steering) ทั่วไปที่อาศัยความเร็วรอบเครื่องยนต์ระดับหนึ่งเพื่อให้ได้แรงดันน้ำมันเพาเวอร์สูงสุด หลายกรณีที่เกิดปัญหาน้ำมันเพาเวอร์ร้อนจัดจนเกิดปัญหาพวงมาลัยรถหนักหนืดแรงหมุนพวงมาลัยรถกะทันหัน ยากต่อการบังคับควบคุมทิศทางตัวรถและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

นอกนั้น Servotronic ยังต่างจากระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (Electric-Powered Steering System) ของรถรุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานผสม (Hybrid) และพลังงานไฟฟ้า 100% หรือ EV (Electric Vehicle)

ประโยชน์ที่ได้จาก Servotronic มุ่งตรงต่อการบังคับขับขี่ที่สะดวกสบายง่ายมือไม่หนักแรงหมุนสาววงพวงมาลัยรถ แม้จะเป็นคนร่างเล็กหรือว่าคุณสุภาพสตรีก็ตาม น้ำหนักหมุนสาววงพวงมาลัยรถจะ “เบาแรง” กรณีที่ขับขี่ด้วยความเร็วต่ำในเขตชุมชนผู้คนหนาแน่น การจราจรติดขัด โดยเฉพาะเมื่อถอยจอดเข้าซอง (Perpendicular Parking) และ/หรือจอดขนานกับขอบทาง (Parallel Parking) แต่จะปรับน้ำหนักหมุนสาวพวงมาลัยรถให้ “หนักแรง” มากขึ้นโดยอัตโนมัติกรณีที่ใช้ความเร็วสูงขึ้นกว่าการขับขี่ในการจราจร เช่น บนทางด่วน ทางหลวงชนบท หรือว่า Super Highway

ทั้งนี้ทั้งนั้น เซนเซอร์ตรวจจับความเร็วความแรงในการหมุนพวงมาลัยรถเป็นสำคัญ (Speed-Dependent Control of the Power-Steering) เพื่อสั่งการให้ตรงกับความต้องการขับขี่อย่างแม่นยำ

BMW AG ติดตั้งระบบ Servotronic ครั้งแรกในปี 2012 จนถึงปัจจุบัน เฉพาะกับรถรุ่นพิเศษเท่านั้น เนื่องจากต้นทุนผลิตค่อนข้างสูง กลไกพวงมาลัยเป็นระบบเฟืองหมุนบังคับรางเฟือง (Rack & Pinion) อัตราทดรอบ 17.6 ต่อ 1 รัศมีวงเลี้ยว 12.8 เมตร (Wall-to-Wall)

• ระบบเบรก-ล้อ-ยาง

ดิสค์เบรกขนาดใหญ่แบบร่องระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ (4-Wheel Ventilated Disc Brakes) ลูกสูบเบรกหน้า 4 ตัว/ข้าง หลัง 1 ตัว/ข้าง พร้อมระบบอิเลคทรอนิคป้องกันล้อล็อคขณะเบรก (ABS.: Anti-Lock Brake System), ระบบอิเลคทรอนิคควบคุม/กระจายแรงดันน้ำมันเบรก (EBD.: Electronic Brake-Force Distribution), ระบบหม้อลมเบรกไฟฟ้า (EBA.: Emergency Brake Assist), และอื่นๆ

ล้ออัลลอย M-Style ลาย Double-Spoke ขนาดวง 22 นิ้วฟุต ล้อหน้าขนาด 9.5J x 22 ยาง 275/35 R22 ล้อหลังขนาด 10.5 x 22 ยาง 315/30 R22

• ระบบกันสะเทือน
อิสระเต็มตัว 4 ล้อระบบถุงลม 4 ตัวหน้า/หลังของ BMW Adaptive 2-Axle Air-Suspension กันสะเทือนหน้าปีกนก 2 ชั้น (Double-Wishbone) กันสะเทือนหลัง Multi-Link โดยมี Sub-Frame เป็นตัวกลางระหว่างโครงสร้างแชสซีส์ตัวรถกับชุดกันสะเทือน

• ระบบความปลอดภัย

โครงสร้างนิรภัยตัวรถส่วนหน้า/ท้ายซับแรงกระแทกชน (Crumple Zones) โครงสร้างส่วนห้องโดยสารเสริมแรงพิเศษลดการยุบตัวจากแรงกระแทกชนรอบด้าน (Safety Cage), คานนิรภัยเสริมในบ้านประตูรถ 4 บาน, คานเหล็กเสริมแรงขวางตัวรถบริเวณโคนเสาเก๋งคู่หน้า,

ถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า, ถุงลมนิรภัยศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง (ยกเว้นผู้โดยสารตอนหลังกลาง), ระบบ Teleservices ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)

ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC.: Dynamic Stability Control), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC.: Dynamic Traction Control), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor) ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection) ระบบ Active Protection ระบบเตือนสถานะของยาง (Runflat Indicator) ชิ้นส่วนตัวรถบรรเทาการบาดเจ็บคนเดินถนนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ (Passive Protection for Pedestrians), กล้องวงจรปิดจับภาพรอบคันรถ (Surround View Camera)

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Stop&Go (Active cruise control with Stop&Go function), ระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant), ระบบ BMW Head-up Display, ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ (Parking Assistant) ความปลอดภัยรวมถึงระบบไฟหน้า BMW Laserlight และ ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam Assistant)

• ระบบความบันเทิงและการสื่อสาร
BMW Live Cockpit Professional, ระบบ BMW ConnectedDrive, ฟังก์ชันสั่งงานระบบ iDrive ด้วยการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ (BMW Gesture Control), ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon, ระบบเชื่อมต่อ Smartphone

• สมรรถนะ

พิกัดความแรงเครื่องยนต์ (Specific Power) 113.4 แรงม้า(PS)ต่อ 1 ลิตร (ขนาดความจุเครื่องยนต์) อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้า (Power-to-Weight Ratio) 6.04 กิโลกรัมต่อ 1 แรงม้า(PS) /หรือ 165 แรงม้าต่อ 1 ตัน

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.7 วินาที เร่ง 0-160 กม./ชม. 15 วินาทีโดยประมาณ เร่ง 0-200 กม./ชม. 28 วินาทีโดยประมาณ เร่ง 0-400 เมตร (Quarter Mile) ราว 14.5 วินาที

เพดานความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ประหยัดเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.1 กม./ลิตร เชื้อเพลิงเต็มถังวิ่งได้ไกล (Fuel Tank Range) 888 กิโลเมตรโดยประมาณ

ความเร็ว 100-0 กม./ชม.ระยะเบรก 34 เมตร ความเร็ว 130-0 กม./ชม. ระยะเบรก 56 เมตร ความเร็ว 190-0 กม./ชม.ระยะเบรก 120 เมตรโดยประมาณ

(หมายเหตุ. ข้อมูล สมรรถนะ ได้จากการคำนวณและ Websites ต่างประเทศ)

 

ข้อสังเกต:

เครื่องยนต์ถูกกักเก็บอุณหภูมิคงที่ประมาณ 70 องศาเซนเซียส ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าที่ส่วนบนทึบลม ส่วนบนเสื้อสูบที่ปิดช่องหล่อเย็น(Close Deck Cylinder) การหล่อเย็นไอดีระบบ Air-to-Liquid Turbo Intercooler ระบบกักเก็บความร้อน (Heat Encapsulation System) และอื่นๆ ทั้งนี้ทั้งก็เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งรวมทั้งมาตรไอเสียที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศ

เกียร์ BMW 8speed Sport Steptronic สอดสัมพันธ์การทำงานกับระบบส่งกำลังขับเคลื่อนทุกล้ออัจฉริยะ BMW xDrive ได้ดีและเนียนมาก ไม่มีแรงกระตุกกระชากให้รู้สึก ทั้งๆที่ระบบส่งกำลังขับเคลื่อนทุกล้อ (AWD.)และขับเคลื่อนสี่ล้อวิบาก(4×4 Off-Road) จะมีแรง Load ที่เกิดจากผิวสัมผัสหน้ายางกับพื้นถนน หรือประสิทธิภาพการเกาะถนนทั้ง 4 ล้อนั้นย้อนกลับมาที่เพลาขับ เฟืองท้าย เพลากลาง เกียร์และเครื่องยนต์ก็ตาม

ตัวเลขประหยัดเชื้อเพลิงในแคตตาล็อคระบุ 11.1 กม./ลิตร นับว่าประหยัดมาก เมื่อเทียบอัตราส่วนกับเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร 200 แรงม้าที่ประหยัดในเกณฑ์ 12-14 กม./ลิตร ซึ่ง X6 เบนซิน 4.0i M Sport 340 แรงม้า น้ำหนักตัวรถ 2,055 กิโลกรัม ขับเคลื่อนทุกล้อ (AWD.) น่าจะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเกณฑ์ 8.5 กม./ลิตร แต่นี่ทำได้ 11.1 กม./ลิตร

ทัศนะวิสัยขับขี่ปรอดโปร่งกว่าที่คิดว่ารถท้ายลาดแบบ Coupe’ จะมีจุดบอดเพราะแนวหลังคาเทลาดโดยเฉพาะบริเวณเสาเก๋งท้าย

อัตราเร่ง 5.7 วินาทีไม่สงสัย โดยเฉพาะถ้าได้เติมน้ำมันเบนซิน 95 (ไม่ใช่แก๊สโซฮอล) ด้วย COMFORT Driving Mode ตัวรถพุ่งปร๊าดจากจุดออกตัวและแซงได้กระชับมาก แน่นอนว่าเป็น 340 แรงม้า (PS) หรือ 250 กิโลวัตต์กับแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ทั้งๆที่ตัวรถออกรถที่เกียร์ 2nd

ระบบกันสะเทือนถุงลม BMW Adaptive 2-Axle Air-Suspension ทำงานเร็วมาก ลดอาการโยนที่มีเป็นนิสัยของรถ SUV คันใหญ่สูงโย่งลงไปได้มาก (แม้ว่า X6 จะเป็นรถ SAC ท้ายลาดก็ตาม) เรื่องที่ชอบ คือ กันสะเทือนถุงลมลดความเครียดให้กับผู้ขับขี่ได้มาก เช่น เครียดเพราะสภาพผิวถนนที่เป็น Bumpy Road อาการสั่นสะท้านของระบบกันสะเทือนสาเหตุจาก “ล้อเต้น”ดังนี้เป็นต้น นอกเหนือจากการนั่งโดยสารที่นิ่มนวลสะดวกสบายนั้น

สุดท้าย คือ สไตล์ ความหรูหราของตัวรถ รวมทั้งสรรพอุปกรณ์ที่จัดเต็มแบบ Full Option ในเชิง Product Value Analysis แล้วถือว่า “คุ้มค่ามาก” กับค่าตัว 5,739,000 บาท นะครับ
(สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากผู้แทนจำหน่าย BMW ทั่วประเทศไทย)

 

ภาคผนวก:

• BMW X6 Series

Bayerische Motoren Wereke AG เยอรมนี บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับที่ 6 ของโลก (ปี 2020 จัดอันดับโดย www.carlogos.org.) นับแต่ก่อตั้งบริษัทในปีค.ศ. 1917 ยึดหลักสำคัญ 3 ประการในการออกแบบผลิตสินค้า ได้แก่ สไตล์ (Style), สมรรถนะ (Performance), และ นวัตกรรม (Innovation) เหล่านี้คือจุดยืนที่ชัดเจนและแตกต่าง

อันที่จริง โปรเจค X6 เริ่มมาตั้งแต่ปี 2003 แต่ถูกระงับไว้ด้วยเหตุผลบางประการ จนกระทั่งปี 2005 จึงได้ไฟเขียวให้ทำต่ออย่างจริงจัง เหตุผลหนึ่งนั้นก็คือ BMW ต้องการเปิดตลาดใหม่ (New Segment) จากรถ SUV เดิมที่มีอยู่หลายยี่ห้อแล้ว

รถยนต์ต้นแบบ BMW X6 เปิดตัวครั้งแรกในงาน 2007 Frankfurt International Auto Show เยอรมนี หนึ่งปีให้หลัง X6 พร้อมจำหน่ายเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน 2008 North American International Auto Show ดีทร้อยท์ สหรัฐอเมริกา

BMW X6 ได้รับรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปีจากนิตยสารรถยนต์ชื่อดังของอังกฤษ เครื่องยนต์ก็ได้รับรางวัล 10 อันดับเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมของโลก

เสน่ห์ของ X6 คือ เป็นรถรุ่นแรกของโลกที่เป็น Coupe’ SUV หลังคาลาดลู่ลมจรดท้าย ซึ่ง BMW เรียกว่า SAC ย่อจาก Sport Activity Coupe’

ช่วงปี 2008-2020 BMW X6 มียอดผลิตจำหน่ายมากถึง 491,509 คัน ขายในยุโรป 153,633 คัน ขายในสหรัฐอเมริกา 78,196 คัน ตลาดโพ้นทะเล (Oversea Market) จำนวน 880,473 คัน

เทียบกับ BMW X5 ที่เปิดจำหน่ายปี 1999 ยอดผลิตช่วงปี 1999-2020 รวม 2,385,379 คัน ขายในยุโรป 647,723 คัน สหรัฐอเมริกา 857,183 คัน ตลาดโพ้นทะเล 880,473 คัน

สิ่งที่รถทั้ง 2 รุ่นต่างกัน ไม่ใช่แค่ลักษณะตัวรถระหว่าง SAV (Sport Activity Vehicle) กับ SAC และจำนวนผลิตที่ต่างกัน 9 ปี แต่ BMW X5 เป็น Mass ขณะที่ X6 เป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มหรือ Niche Market

อัตราส่วนผู้ขับใช้ X5 นั้น 30%/70% (ผู้หญิง/ผู้ชาย) ส่วน X6 เป็นผู้ชายไม่น้อยกว่า 90% ประมาณการณ์ คุณสมบัติหลักของ X6 อยู่ที่สมรรถนะที่ปราดเปรียว (Dynamic & Maneuverability) ส่วน X5 เน้นสุนทรีรมย์ในการขับขี่และอรรถประโยชน์ (Driving Pleasure & Versatility)

BMW X6 จัดอยู่ในหมวดรถ CrossOver-Coupe’-Like/ Luxury Middle-Size All-Wheel-Drive Sport Utility Vehicle (SUV.) ซึ่ง BMW เรียกว่า SAC นั้น

 

• BMW X6 (1st Generation)

รหัสตัวถัง E71 ผลิตช่วงปี 2008-2014 ออกแบบโดย Pierre Leclercq เป็นรถรุ่นแรกที่ใช้ระบบ BMW Dynamic Performance Control เครื่องยนต์ที่ใช้ล้วนติดตั้งเทอร์โบชาร์จทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเบนซินหรือดีเซล 6 สูบแถวเรียง และเบนซิน 8 สูบวี นับจากรหัส 306, N54, N55, N63, S63 และM57 กับ N57 ที่เป็นดีเซล

รหัส E72 เป็น ActiveHybrid พลังงานผสมระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine หรือ IC.) เบนซิน 8 สูบวี. ขนาดความจุ 4,400 ซี.ซี. กับมอเตอร์ไฟฟ้า (3 Phase Synchronous Electric Motor) เกียร์อัตโนมัติมี 2 รุ่น ได้แก่ เดินหน้า 7 สปีด (ชุดเกียร์ระบบดาวนพเคราะห์) และ 7 สปีดที่เป็น Active 2 Mode ECVT (เกียร์อัตโนมัติอัตราทดรอบด้วยรอกสายพานควบคุมการทำงานด้วยอิเลคทรอนิค)

ระบบส่งกำลังขับเคลื่อนทุกล้ออัตโนมัติ (BMW xDrive) ผันแปรอัตราการกระจายกำลังขับเคลื่อนระหว่างล้อหน้า/หลัง และเฟืองท้ายหลังจัดสรรแรงบิดระหว่างล้อหลังซ้าย/ขวาให้เหมาะสมกับสภาพขับขี่และสภาพพื้นผิว ยังช่วยลดอาการหน้าดื้อโค้งและท้ายปัด (Under & Over-Steering) ของตัวรถ นอกเหนือการยึดเกาะถนน/ทรงตัวและขีดความสามารถในการขับลุยนอกผิวถนนได้ในระดับรถ CrossOver Vehicle

BMW X6 M เปิดตัวในงาน 2009 New York Auto Show รหัสเครื่องยนต์ S63 เบนซิน 8 สูบวี 4.4 ลิตร Twin-Scroll/Twin-Turbocharge ท่อรวมไอดีแบบพิเศษเรียกว่า CCM (Cylinder Bank Comprehensive Manifold) กำลังสูงสุด 547 แรงม้า (408 Kw)ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 677 Nm ที่ 1,500-5,650 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 6 สปีด M Sport พร้อมระบบปรับกันสะเทือน Adaptive Drive Suspension ลดเตี้ยลง 10 มิลลิเมตรที่ M Dynamic Mode

 

• BMW X6 (2nd Generation)

รหัสตัวถัง F16 ผลิตช่วงปี 2014-2019 ออกแบบโดย Tommy Forsqren เปิดตัวครั้งแรกที่งาน 2014 Paris Motor Show ฝรั่งเศส

จุดเด่น ได้แก่ ที่เก็บสัมภาระท้ายรถกว้างใหญ่ขึ้น เครื่องยนต์ทั้งเบนซินและดีเซลมีแรงม้าแรงบิดเพิ่มขึ้น และเน้นเทคโนโลยีใหม่ คือ เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 8 สปีด เรียกว่า BMW 8-speed Steptronic

ช่วงล้อ(Wheelbase) 2.933 เมตรเท่าเดิม ตัวรถยาวขึ้น +30 มิลลิเมตร กว้างขึ้น +5 มิลลิเมตร สูง (จากพื้นราบจรดหลังคา) ขึ้น +5 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ E71

BMW X6 M Performance รหัสตัวถัง F86 ออกแบบโดย Florian Nissl เปิดตัวในสนามแข่ง Losail International Circuit ประเทศกาต้าร์ ได้รับยกย่องว่าเป็นรถที่วิ่งเร็วที่สุดใน SUV และ Coupe’ SUV เครื่องยนต์รหัส S63 เบนซิน 8 สูบ 4,400 ซี.ซี. 567 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสุด 750 นิวตัน-เมตร (Nm) ที่ 2,200 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 4.2 วินาที

 

• BMW X6 (3rd Generation)

รหัสตัวถัง G06 ผลิตจำหน่ายตั้งแต่ปี 2019 จนถึงปัจจุบัน ออกแบบโดย Hussein AI-Attar รายละเอียดตัวรถประหนึ่งว่านำคุณลักษณะที่ “คมเฉี่ยวตา” ของ F86 M Sport มาขัดเกลาเรื่องอากาศพลศาสตร์

เช่น กระจังหน้า (BMW Kidney Grill) ออกแบบใหม่และขยายตะแกรงช่องใหญ่, โคมไฟหน้า/หลังออกแบบใหม่ให้ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น, เพิ่มเนื้อที่ช่องให้ลมไหลผ่าน(Air-Breath)ด้านข้างซุ้มล้อหน้าเพื่อลดพื้นที่หน้าตัดลดแรงต้านอากาศ, ชายล่างตัวถังด้านข้างเดินเส้นสันใหม่ให้ดูเนียนตามากขึ้น, และอื่นๆ เป็นต้น

สไตล์ตัวรถยังเป็น Coupe’ หรือ Hatchback SUV เรียกว่าเป็นตัวต้นชัดเจนมาก มิติตัวรถโดยรวมแล้วขยายใหญ่ขึ้นกว่า F16 ได้แก่ ช่วงล้อยาวขึ้น +42 มิลลิเมตร, ตัวรถยาวขึ้น +26 มิลลิเมตร, ตัวรถกว้างขึ้น +15 มิลลิเมตร แต่เตี้ยลง -6 มิลลิเมตร ตัวรถเบาขึ้น คือ น้ำหนักตัวรถเปล่าลดลงไปราว 80 กิโลกรัม

มิติ-น้ำหนัก G06 คือ 4.935 x 2.004 x 1.696 เมตร (ยาว x กว้าง x สูง) ช่วงล้อ (Wheelbase) ยาว 2.975 เมตร ฐานล้อคู่หน้า/คู่หลังห่างกัน 1.678/1.698 เมตร น้ำหนักตัวรถ 2,055-2,260 กิโลกรัม ปริมาตรความจุสัมภาระในตัวรถ 580 ลิตร (ไม่พับพนักพิงเบาะนั่ง) และ 1,530 ลิตร(ล้มพับพนักพิงเบาะนั่งหลังราบลงทั้งหมด)

โปรดสังเกตว่า ฐานล้อคู่หลัง(Rear Track Width)กว้างกว่าคู่หน้า เป็นคุณลักษณะของรถขับเคลื่อนล้อหลัง เพลาข้างที่ส่งกำลังจากเฟืองท้ายหลังจะอวบใหญ่กว่าเพลาข้างคู่หน้า เป็นคุณลักษณะของรถขับเคลื่อนล้อหลัง และ/หรือ รถขับเคลื่อนทุกล้อที่เน้นการถ่ายกำลังไปล้อคู่หลังเป็นหลัก

ดังนี้ จึงส่งกำลังได้แข็งแรงมากกว่ารถที่ฐานล้อคู่หน้า (Front Track Width) กว้างมากกว่าคู่หลัง รวมทั้งรถขับเคลื่อนล้อหน้า(FWD.)ด้วย และรถขับเคลื่อนทุกล้อวางเครื่องยนต์ขวางลำตัวรถโดยเน้นส่งกำลังขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้าเป็นหลัก

 

 

 

เรื่อง: พีระพงษ์ กลั่นกรอง

เรียบเรียงข้อมูลโดย: Grand Prix Motor Park

ติดตามข่าวสารได้ที่: http://www.grandprixmotorpark.com/

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *