“Tent” บ้านที่สองของคนรักธรรมชาติ และสิ่งที่เราควรรู้ (ตอนที่ 1)

การเดินทางท่องเที่ยวไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะแนวแคมปิ้งนั้นปัจจุบันคนหันมาให้ความสนใจและกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง จะเห็นได้ว่า สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติต่างๆ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดอย บนเขาสูง หรือสถานที่ที่เน้นธรรมชาติติดริมน้ำ มักคร่าคร่ำไปด้วยนักเดินทางในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ รวมทั้งความนิยมจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว เมื่อฤดูมาเยือนหนาว

การเดินทางท่องเที่ยวไปในธรรมชาติ อีกหนึ่งการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน

อุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดของการใช้ชีวิตแบบเอ้าท์ดอร์ ดื่มด่ำกับธรรมชาติคงหนีไม่พ้น เต็นท์เป็นเสมือนบ้านหลังเล็กๆ ที่สามารถติดตั้ง และรื้อถอนเพื่อเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวก ในระหว่างการเดินทางรอนแรม กลางป่าเขาลำเนาไพรและหมู่เกาะแก่งกลางท้องทะเล ทำให้เรานอนหลับได้อย่างอบอุ่น สบายใจ โดยปราศจากการรบกวนจากยุง แมลง สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด สามารถกันแดด กันลมและกันฝนได้ด้วย และที่สำคัญประหยัดเม็ดเงินไปได้อีกมาก

ว่ากันถึงเต็นท์แล้ว ปัจจุบันนั้นก็ออกแบบให้มีหลากหลายรูปทรง หลากหลายการใช้งานในแต่ละภูมิประเทศ จากในอดีตที่เป็นแบบสามเหลี่ยม แต่ยุคนี้มีให้เราเลือกกันมากมาย สนนราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อย หลักพันไปถึงหลักหมื่น มีทั้งเต็นท์กางบนพื้นทั่วๆ ไป จนกระทั่งเต็นท์ติดรถและติดข้างรถ ที่เรียกกันว่า Roof Top Tent เป็นต้น

เต็นท์ แต่ละชนิดแทบจะสร้างขึ้นมาจากพื้นฐานเดียวกัน จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นที่พักชั่วคราว กันลม กันแดดและกันฝน วัสดุที่นำมาผลิตพื้นเต็นท์จึงมักจะเป็นผ้าใยสังเคราะห์ (โพลีเอสเตอร์ โพลิโพไพลีน ) หรืออาจเป็นผ้าดิบก็ได้ โดยมีส่วนประกอบสำคัญๆ ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหลักๆ จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์หลักๆ ได้แก่ 

เต็นท์ติดรถ (Roof Top Tent) เป็นเต็นท์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน

โครงเต็นท์ (pole) วัสดุที่ใช้ทำเสาหรือโครงเต็นท์จึงมักจะมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ แต่ก็มีความยืดหยุ่นด้วย อย่างเช่น ไฟเบอร์ อลูมิเนียม เป็นต้น 

ผ้าคลุมหรือฟลายชีส (rain or fly sheet) ป้องกันน้ำค้างเกาะที่เต็นท์แล้ว ยังบังแดด และป้องกันน้ำฝนด้วย ถัดมาก็เป็น ผ้าปูพื้น (ground sheet) ซึ่งบางท่านอาจจะใช้เป็นผ้าปูหรือเบาะลมก็ได้เหมือนกัน

สมอบก (stake หรือ peg) และเชือกขึง (guyout หรือ guyline) เป็นอุปกรณ์หลักอีกประการหนึ่งของเต็นท์ เพื่อให้สามารถต่อสู้กับลมและรักษารูปทรงของเต็นท์ให้คงสภาพเดิม

ส่วนประกอบหลักๆ ที่สำคัญของเต็นท์ (ภาพประกอบจาก www.)

เต็นท์ในปัจจุบันมีหลากหลายชนิดและรูปทรง มีให้เลือกใช้งานมากมาย

วิธีการเลือกใช้เต็นท์ให้เข้ากับความต้องการ

มาดูในเรื่องของการเลือกซื้อเต็นท์กันบ้าง ซึ่งก็ไม่มีอะไรซับซ้อน การเลือกเต็นท์ที่สำคัญที่สุดก็คือ เลือกให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ สถานที่ที่ไป และความชอบของแต่ละบุคคล

  • ควรเลือกเต็นท์ที่ผลิตจากผ้าไนล่อน เพราะมีน้ำหนักเบา และยิ่งขนาดด้ายของผ้าไนล่อนมีขนาดใหญ่มากเท่าไรก็ยิ่งมีความแข็งแรงมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูด้วยนะครับว่า ประเทศของเราเป็นเมืองร้อน ถ้าเต็นท์ที่มีความหนามากไป ก็จะกลายเป็นว่า ต้องนอนร้อนกันทั้งคืน และอีกจุดหนึ่งที่ควรดูก็คือ บริเวณประตู หน้าต่าง ที่ส่วนใหญ่เป็นผ้าตาข่าย เพื่อให้ลมสามารถระบายได้ รวมทั้งป้องกันแมลงต่างๆ ควรเลือกที่มีตาถี่เล็กน้อย เพราะมีจำนวนมากที่ไม่ได้มองจุดนี้ ทำให้ไปกางในสถานที่ต่างๆ ถูกมด แมลง รวมทั้งลิ้น หรือแม้แต่ยุง สามารถลอดเข้าไปได้ เป็นอันว่าไม่ได้นอนกันทั้งคืน จากการถูกสัตว์เล็กๆ เหล่านี้รบกวน
  • เลือกเต็นท์ที่มีระบบการถ่ายเทอากาศที่ดี จะทำให้สามารถนอนอย่างสบาย ไม่อึดอัด อากาศถ่ายเทได้ดี เต็นท์ทึบหรือมีช่องระบายน้อย เหมาะสำหรับในเมืองหนาว
  • สำหรับผู้ที่มีรถยนต์ เราสามารถจะนำเต็นท์ขนาดใหญ่แค่ไหน หากว่ารถยนต์สามารถเดินทางขึ้นไปถึง แต่ก็พยายามเลือกเต็นท์ที่มีน้ำหนักเบา กางง่าย ไม่เกะกะ เอาไว้ก่อน เผื่อสถานที่ที่จะกางมีบริเวณที่จำกัด
  • เมื่อจะซื้อเต็นท์แบบใดก็ตาม ต้องมีผ้าคลุมเต็นท์(Fly Sheet) ที่สามารถกันน้ำ กันฝนหรือน้ำค้าง โดยปกติแล้วตัวของเต็นท์ที่มีคุณภาพดีๆ ราคาสูง จะสามารถกันได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากผ้าที่ผลิตตัวเต็นท์ได้มีการเคลือบสารกันน้ำที่พื้นผิวผ้าและซีลตะเข็บผ้าได้ดีเพียงใด ซึ่งการเคลือบสารกันน้ำช่วยเสริมความแข็งแรงของผ้าในการป้องกันแสงแดด ลม และน้ำฝน รวมทั้งช่วยชะลอการเสื่อมอายุการใช้งาน แต่การมีฟลายชีสติดไปด้วยจะสร้างความมั่นใจได้มากกว่า เหมือนเรามุงหลังคาเอาไว้ป้องกันอีกชั้น
  • นอกจากดูในเรื่องของผ้าที่ใช้ทำเต็นท์แล้ว ต้องดูโครงสร้างของเต็นท์ว่ามีความแข็งแรงหรือไม่ เพราะสถานที่บางแห่งที่เราไปกาง เช่น บนยอดเขาหรือลานโล่ง ลมค่อนข้างแรงไปจนอาจถึงกรรโชก ดั้งนั้นเต็นท์ของท่านอาจจะหัก พับ งอ ได้ง่ายๆ หากโครงสร้างไม่ได้มาตรฐานหรือไม่แข็งแรง 

รูปแบบของเต็นท์ที่ได้รับความนิยม

รูปแบบของเต็นท์นั้น มีหลากหลายรูปแบบมากๆ ขึ้นอยู่กับการดีไซส์ ทั้งนี้เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ รวมทั้งเพื่อให้มีความเอนกประสงค์มากยิ่งขึ้น ราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหลายหมื่น แต่ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน คือ เป็นบ้านเคลื่อนที่ กันลม กันแดด กันฝน เป็นต้น ลองไปดูว่ามีอะไรบ้างเต็นท์ทรงมาตรฐาน (Ridge/A-frame Tent) เป็นเสมือนต้นแบบของเต็นท์ในปัจจุบันที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการตั้งแคมป์ยุคแรกๆ ใช้ผ้าใบเป็นหลัก ระบายน้ำได้ดี โดยมีเสาค้ำยันอยู่ 2 ฝั่ง ติดตั้งได้ง่าย อยู่ได้ 2 คน การกางก็ง่าย มีหลักอยู่แค่ว่าต้องกางให้ตึงเข้าไว้

  • เต็นท์โดม (Dome Tent) เต็นท์ทรงมาตรฐานในยุคนี้ ที่เราจะพบได้ค่อนข้างมาก ด้วยความที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ได้พื้นที่เยอะ ไม่จำเป็นต้องใช้สมอบก ใช้เสาเต็นท์ 2 เสาพาดกันเป็นทรงตัว X จึงมีความแข็งแรง มีให้เลือกหลายขนาดตามจำนวนคน
  • เต็นท์ป๊อปอัป (Pop-up Tent) เป็นเต็นท์ที่กางง่ายที่สุด โยนออกมาทีเดียว เต็นท์จะกางพรึบเสร็จอย่างไว พร้อมนอนทันที เวลาเก็บก็แค่พับลงกระเป๋าได้เลย พกพาง่าย น้ำหนักเบา เหมาะสำหรับมือใหม่สายแคมมป์ แต่ข้อเสียหลักๆ เลยก็คือความไม่มั่นคง ไม่แข็งแรงซักเท่าไหร่ จึงไม่เหมาะกับการไปตั้งในพื้นที่ที่ลมแรง หรือสภาพอากาศโหดร้าย
  • เต็นท์พีระมิด (Pyramid Ten) เต็นท์มีน้ำหนักเบา ใช้เสาอลูมิเนียมอยู่กึ่งกลาง ดังนั้นเต็นท์จึงมีน้ำหนักเบา และเล็กกะทัดรัด แต่ต้องใช้การตอกสมอ และดึงเชือกในการตั้งเต็นท์ จึงทำให้มีความทนทานสูงในพื้นที่ที่อากาศย่ำแย่
  • เต็นท์อุโมงค์ (Tunnel Tent) ใครที่ไม่ได้อยากได้พื้นที่ Head Room เยอะนัก อยากได้ที่นอนยืดแข้งยืดขาแบบยาวๆ เต็นท์อุโมงค์จะเหมาะกับคุณที่สุด (รุ่นที่ Head Room สูงก็มีเช่นกัน) นอนพักได้หลายคน หรือทั้งครอบครัว แต่ด้วยความที่มีพื้นที่เหลือเฟือนี่เอง จึงต้องแลกมาด้วยความยากในการติดตั้ง และความหนักนั่นเอง
  • เต็นท์แบบเคบิน (Cabin Tent) เป็นทรงที่เหมาะสำหรับคนที่ไปแคมป์กันทั้งครอบครัวโดยขับรถไปด้วย เพราะมีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมาก และการติดตั้งยุ่งยากซับซ้อน แต่ก็ตอบแทนด้วยพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง แข็งแรง บางรุ่นสามารถแบ่งซอยย่อยห้องข้างในได้ด้วย เดินไปมาได้แบบสบายๆ หัวไม่ชนเพดาน
  • เต็นท์กระโจม (Teepee Tent) มียอดแหลม ๆ คล้ายกระโจมของอินเดียนแดง ใช้เสาตรงกลางแค่เพียงต้นเดียวและใช้ผ้าเต็นท์คลุม ยึดปลายผ้าด้วยสมอบก กางง่าย แต่มีพื้นที่ด้านบนเยอะ ไม่อึดอัด อากาศไม่ร้อน
  • เต็นท์อุโมงค์ (Tunnel Tent) ใครที่ไม่ได้อยากได้พื้นที่ Head Room เยอะนัก อยากได้ที่นอนยืดแข้งยืดขาแบบยาวๆ เต็นท์อุโมงค์จะเหมาะกับคุณที่สุด (รุ่นที่ head room สูงก็มีเช่นกัน) นอนพักได้หลายคน หรือทั้งครอบครัว แต่ด้วยความที่มีพื้นที่เหลือเฟือนี่เอง จึงต้องแลกมาด้วยความยากในการติดตั้ง และความหนักนั่นเอง
  • เต็นท์ทรงจีโอเดสิคโดม (Geodesic Tent) เป็นทรงเต็นท์ขั้นอัพเกรดของทรงโดมอีกทีหนึ่ง โดยเพิ่มเสาด้านข้าง ทำให้มีความแข็งแรงมากขึ้น พื้นที่ภายในมีมากขึ้น ความแข็งแรงมากขึ้น แต่ราคาจะค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับการแคมป์ปิ้งในป่าที่ค่อนข้างจริงจัง ลมพัดแรงๆ ก็อยู่ได้
  • เต็นท์ติดรถและติดข้างรถ (Roof Top Tent) เป็นเต็นท์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่มีรถ และชอบท่องเที่ยวแนวแคมปิ้ง ติดตั้งได้กับรถแทบทุกชนิด เป็นเต็นท์ที่กางง่าย แต่น้ำหนักค่อนข้างเยอะ ราคาค่อนข้างสูงครั้งที่ได้รับความนิยมในยุคแรกๆ มีความแข็งแรง ทนทาน   

นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ยังมีเต็นท์อีกมากมาย อาทิ เต็นท์กึ่งถุงนอน เต็นท์แบบแบ็คแพ็ค เต็นแบบสูบลม ฯลฯ แล้วแต่และรูปทรงและการเรียก

เดี๋ยวงวดหน้ามาว่าต่อกันแบบยาวๆ ในเรื่องของการเลือกทำเลการกางเต็นทืและการดูแลรักษาครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *