มาเรียนรู้ทักษะ การขับรถออฟโรดขั้นพื้นฐานอย่างถูกวิธีกับ Grand Prix Motor Park กันเถอะ…(Part 6)

Station ที่ 3 เส้นทางระนาดซุง และเนินระนาดต่างๆ

ระนาดซุงหรือเนินซุงนั้น ถูกออกแบบให้คล้ายกับการขับผ่านรากไม้ และโขดหินที่มีขนาดปานกลาง เราจะต้องจับพวงมาลัยอย่างถูกวิธี เกียร์ที่ใช้ควรเป็น 1L ควบคุมรถให้ไต่ข้ามไปแบบช้าๆ รักษารอบเครื่องให้ต่ำไม่ควรเกิน 1,000 รอบ/นาที โดยประมาณ ไม่จำเป็นต้องกดคันเร่งจนสุดหรือห้ามกดคันเร่งแช่ ควรกดคันเร่งให้เป็นจังหวะ เพียงแค่สามารถไต่ข้ามลูกระนาดแต่ละลูกก็เพียงพอ วิธีการง่ายๆ แตะแล้วปล่อยเมื่อล้อขึ้นถึงยอดเนินระนาด พร้อมกับถอนคันเร่งทันทีปล่อยให้ล้อตกลงมาเอง ก่อนจะเร่งส่งเล็กน้อยเมื่อถึงด้านล่าง ระวังอย่าให้เกิดการกระแทกกับลูกระนาดลูกต่อไปอย่างรุนแรง อาจจะใช้เบรกช่วยได้ในบางจังหวะ ทำซ้ำขั้นตอนทั้งหมดนี้ แล้วเราจะพบว่าการขับข้ามลูกระนาดนั้นไม่ได้อยากเย็นอะไรนัก

ระนาดซุงหรือเนินซุงนั้น เป็นเสมือนด่านทดสอบระบบช่วงล่าง การทำงานของระบบช่วงล่าง
การควบคุมคันเร่งและรอบเครื่องยนต์

นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคอีกประการหนึ่ง ที่ควรเรียนรู้และศึกษาวิธีการขับ ก็คือ อุปสรรคยางรถยนต์จะมีลักษณะคล้ายกับสภาพพื้นดินที่สามารถยุบตัวได้ ธรรมชาติของยางจะมีพื้นนุ่มจึงไม่ค่อยเป็นอันตรายกับระบบช่วงล่าง แต่สามารถจับล้อให้หนืดลงได้ ส่งผลให้ผู้ขับไม่สามารถควบคุมพวงมาลัยให้หน้ายางได้ดีนัก ด่านนี้จึงเสมือนการฝึกในการเลี้ยงพวงมาลัย และทำตามวิธีการคล้ายๆ กับการขับข้ามลูกระนาด จะสามารถพารถผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปอย่างนุ่มนวล

Station ที่ 4 การขับรถบนพื้นเอียง

อุปสรรคอย่างหนึ่งที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในการขับรถบนเส้นทางออฟโรด นั่นก็คือ “การขับผ่านพื้นที่ลาดเอียง” พื้นที่เอียงในที่นี้หมายถึง เส้นทางที่มีลักษณะเอียงเทไปด้านข้าง เมื่อเราขับผ่านไปตัวถังของรถจะเอียงไปตามลักษณะภูมิประเทศหรือตามพื้นผิวของเส้นทาง จะเอียงซ้ายหรือขวาก็ตาม

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก คือ เรื่องของตัวรถและข้อปฎิบัติต่างๆ ที่ควรทำเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับ โดยจะเริ่มจากช่วงล่างก่อน ช่วงล่างของรถออฟโรดที่ดีนั้น ควรมีความยืดหยุ่นสูง มีความแข็งที่พอดี ไม่กระด้างหรืออ่อนจนเกินไป โดยเฉพาะพื้นเอียงจะสามารถวัดได้ว่า ช่วงล่างของรถดีหรือไม่หรือควรปรับปรุงอย่างไร ล้อทั้ง 4 ล้อ ของรถจะต้องเกาะไปตามเส้นทางที่มีความเอียงตามแรงดึงดูดของโลก ล้อด้านที่ต่ำกว่าจะต้องรับน้ำหนักรวมของรถมากกว่าล้อด้านที่อยู่สูงกว่า ช่วงล่างที่ดีจะต้องยอมให้ล้อด้านที่อยู่สูงกว่า ยุบตัวเข้าไปในซุ้มล้อได้มาก ยิ่งยุบได้มากเท่าไร ช่วงล่างฝั่งตรงกันข้ามจะยืดได้มากขึ้นเท่านั้น ตัวรถจะสามารถคืนตัวไม่ให้เอียงมากนัก ขณะเดียวกันจะยันไม่ให้รถพลิกคว่ำ และรักษาสมดุลย์โดยกระจายน้ำหนักกลับไปด้านที่อยู่สูงกว่า ผลก็คือการเกาะพื้นผิวได้ดียิ่งขึ้น


ช่วงล่างของรถออฟโรดที่ดีนั้น ควรมีความยืดหยุ่นสูง มีความแข็งที่พอดี ไม่กระด้างหรืออ่อนจนเกินไป จะช่วยในการยึดเกาะเส้นทางได้ดียิ่งขึ้น

การขับผ่านพื้นเอียง ให้ใช้เกียร์ 1-4 Low โดยใช้ Walking Speed  และรักษาความเร็วให้คงที่เพื่อป้องกันการปั่นฟรีของล้อ
ในเนินเอียงที่เป็นปูนและมีความลาดชันไม่มาก รถมักจะไม่ค่อยเสียอาการ และควบคุมรถได้ง่าย แต่ถ้ามีความลาดชันมากๆ ผู้ขับขี่มือใหม่ๆ มักจะตื่นเต้นและจะเกิดอาการหลงพวงมาลัยได้ง่าย

ช่วงล่างที่มีคุณภาพต่ำ ไม่ว่าจะแข็งหรืออ่อน และมีความยืดหยุ่นจำกัด ก็จะไม่สามารถคืนตัวถังของรถให้น้ำหนักกระจายไปด้านที่อยู่สูงกว่า ส่งผลให้รถพลิกคว่ำได้ง่าย ดังนั้นหากว่ารถมีความสูงมากๆ  สิ่งแรกต้องคำนึงถึงการหยืดหยุ่นของระบบช่วงล่างเป็นอันดับต้นๆ ข้อควรปฎิบัติเมื่อเจอพื้นเอียงนั้น อันดับแรกควรลดกระจกข้างลงให้สุด ป้องกันการกระแทกกับศีรษะ พร้อมกับเก็บของมีคม เพื่อไม่ให้กลิ้งไปกลิ้งมาซึ่งอาจเป็นอันตรายหรือทำให้บาดเจ็บได้ และคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อเป็นการป้องกัน หากรถเกิดการพลิกคว่ำ ก็ควรใช้วิจารณญาณ หากจุดที่ต้องเดินทางผ่านล่อแหลมต่อการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ก็ควรมีการเตรียมพร้อมมากกว่าการขับรถผ่านไปเฉยๆ

โดยธรรมชาติของเส้นทางแบบออฟโรด จะมีพื้นผิวเส้นทางที่หลากหลายรูปแบบ ล้วนแต่ทำให้รถเอียงไป-มา ขณะขับผ่าน ซึ่งต่างจากการขับบนท้องถนนปกติ จะเอียงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับองศาของระนาบพื้นผิว อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่ประกอบกับความเอียง ทำให้มีความยากง่ายแตกต่างกันในการขับ ไม่ว่าจะเป็นความแห้งหรือเปียกของพื้นผิว หรือแม้แต่ความลาดชันทั้งขึ้นและลง (แบบเอียงๆ) รวมทั้งอุปสรรคอื่นๆ เช่น พื้นเอียงที่มีรากไม้ โขดหิน หลุม บ่อต่างๆ ที่มีอันตรายมากหน่อย เช่นพื้นเอียงที่มีหลุมขนาดใหญ่หรือเหวอยู่ข้างๆ และพื้นเอียงใต้น้ำที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามทั้งสิ้น

ปกติแล้วการขับในพื้นที่เอียงๆ หรือเนินเอียงถือว่ายากอยู่แล้ว แต่ในเส้นทางเอียงๆ และค่อนข้างลื่นนั้น ถือว่าค่อนข้างขับยากและมักจะเกิดอาการหลงพวงมาลัยได้ง่าย ดังนั้นควรมีคนช่วยบอกไลน์

เมื่อจะขับผ่านพื้นเอียง แนะนำให้เลือกใช้เกียร์ 1-4 Low โดยใช้ Walking Speed  และรักษาความเร็วให้คงที่เพื่อป้องกันการปั่นฟรีของล้อ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการขุดผิวเส้นทาง หรือเกิดอาการขวางลำของตัวรถ จนเป็นอุปสรรคในการควบคุมรถ ทั้งนี้เพราะน้ำหนักของรถจะกดลงเพียงด้านเดียว

รถออฟโรดที่มีเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ด สลิป (Limited Slip), แอร์ล็อกเกอร์ (Air Locker ) ดิฟล็อก (Diff Lock) หรือระบบล็อกเฟืองท้ายแบบอื่นๆ ก็จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของล้อปั่นฟรีบนพื้นเอียงได้ดี แต่ในทางตรงข้ามหากขับแบบกระชากรุนแรง ก็จะทำให้เกิดความเสียหายแก่เฟืองท้ายและเพลาขับได้ เพราะระนาบพื้นเอียงนั้นล้อด้านที่อยู่ต่ำจะรับน้ำหนักกดสูง ยิ่งเป็นรถขนาดใหญ่แรงกดก็เพิ่มขึ้นเป็นตันๆ ล้อด้านที่อยู่สูงกว่าอาจรับน้ำหนักไม่กี่ร้อยกิโลกรัม ยิ่งพื้นเอียงมีองศามากเท่าไหร่ ก็ทำให้อัตราส่วนของการกระจายน้ำหนักแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น การออกรถกระชากจะเกิดการงัดกันระหว่างล้อซ้ายและล้อขวา ทำให้เกิดความเสียหายแก่รถได้


ประคองพวงมาลัยให้ขนานไปกับเส้นทางเอียง ประคองไม่ให้ล้อเป๋ไปเป๋มา หากไม่แน่ใจว่ามีความปลอดภัย ควรหยุดรถพร้อมกับหักพวงมาลัยไปในทิศทางลงจนสุด หน้ายางจะเป็นตัวค้ำยันไม่ให้รถพลิกคว่ำ

การประคองพวงมาลัยให้ขนานไปกับเส้นทางเอียง ก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำอีกประการหนึ่ง เพราะระนาบเอียงจะทำให้ตัวรถถูกเทไปตามแรงดึงดูดของโลก มีผลให้ผู้ขับขี่รู้สึกว่ารถกำลังจะลื่นไถลออกนอกเส้นทาง 80-90 % ของผู้ขับทั้งมือใหม่และมือเก่า จะหักพวงมาลัยสวนไปในทิศทางด้านที่อยู่สูงกว่าโดยอัตโนมัติ เพราะคิดว่าสามารถดึงรถให้กลับเข้าสู่เส้นทางหรือไม่ก็ขับขึ้นไปเลย นับเป็นข้อปฏิบัติที่ผิดอย่างยิ่ง เพราะนอกจากรถจะไม่สามารถขึ้นระนาบเอียงได้แล้ว ด้านท้ายของรถจะแฉลบตกลงตามแรงดึงดูดของโลก ทำให้รถเกิดอาการขวางลำและพลิกคว่ำได้

การขับไปอย่างช้าๆ ด้วยความเร็วคงที่ พร้อมกับประคองพวงมาลัยให้ตรง หรือขนานไปกับระนาบพื้นเอียง ไม่ว่าจะเป็นโค้งซ้ายหรือโค้งขวา เป็นพื้นฐานการขับบนพื้นเอียงที่ถูกต้อง แล้วท่านจะพบว่าแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวงมาลัยของรถมากนัก เพียงประคองไม่ให้ล้อเป๋ไปเป๋มาก็พอ หากไม่แน่ใจว่าระนาบเอียงมีความปลอดภัยพอที่จะขับผ่านไปได้ ควรหยุดรถพร้อมกับหักพวงมาลัยไปในทิศทางลงจนสุด หน้ายางจะเป็นตัวค้ำยันไม่ให้รถพลิกคว่ำ แล้วค่อยหาวิธีแก้ต่อไป


เนินเอียงจะทำให้ตัวรถถูกเทไปตามแรงดึงดูดของโลก ผู้ขับมักจะหักพวงมาลัยสวนไปในทิศทางด้านที่อยู่สูงกว่าโดยอัตโนมัติ ด้านท้ายของรถจะแฉลบตกลงตามแรงดึงดูดของโลก ทำให้รถเกิดอาการขวางลำและพลิกคว่ำได้

ข้อควรระวังในกรณีที่ขับระนาบเอียงที่เป็นทางโค้ง โดยเฉพาะลักษณะที่เอียงออกนอกโค้ง หากใช้ความเร็วจะทำให้ท้ายปัดและพลิกคว่ำได้ง่าย เพราะแรงหนีศูนย์กลางจะทำให้น้ำหนักของรถถูกเหวี่ยงออกนอกโค้ง ในขณะเดียวกันถ้าเป็นระนาบเอียงเข้าด้านในโค้งก็จะมีปัญหาคนละแบบ เนื่องจากน้ำหนักรถที่กดล้อด้านที่ต่ำกว่า จะทำให้เกิดการขุด โดยเฉพาะการเดินทางที่เป็นขบวน 5-6 คันขึ้นไป พื้นผิวด้านในจะลึกมากขึ้นเป็นลำดับ จนทำให้รถคันหลังๆ เอียงมากจนเกิดอันตราย จึงควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยหาท่อนไม้หรือก้อนหินมาอุดร่องล้อไว้ก่อนที่จะขับผ่าน เพื่อเป็นการช่วยลดความเอียงของตัวรถ จะทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *